น้ำคังเก้น(Kangen water)
ไฮโดรเจนที่ละลายอยู่ในน้ำคังเก้นนั้น สามารถเข้าไปปกป้องไมโตคอนเดรีย, ดีเอ็นเอ ซึ่งอยู่ในเซลล์ และสามารถเข้าสู่เซลล์ในทุกส่วนของร่างกายได้
อะไรเป็นสิ่งแรกที่นักดับเพลิงจะทำเมื่อไปถึงสถานที่ที่เกิดไฟไหม้? พวกเขาจะนำสายน้ำดับเพลิงออกมาต่อกับท่อจ่ายน้ำ แล้วฉีดน้ำจำนวนมากไปที่ไฟที่กำลังเผาผลาญอยู่นั้น ไฮโดรเจนก็เช่นเดียวกัน สามารถเข้าไปในร่างกาย เพื่อดับไฟจากการอักเสบ, ปฏิกิริยาภูมิแพ้ และ oxidative stress ที่กำลังเผาไหม้เซลล์ของร่างกายอยู่
โมเลกุลไฮโดรเจน (molecular hydrogen - H2) เป็นก๊าซทางการแพทย์ที่สามารถละลายน้ำได้ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และยังสามารถควบคุมการแสดงออกของยีนส์ (modifier of gene expression) ได้อีกด้วย
Hydrogen สามารถผ่าน blood brain barrier เข้าสู่สมอง เพราะมีขนาดโมเลกุลที่เล็กมาก จึงสามารถทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินต้านอนุมูลอิสระทั่วไปที่มีโมเลกุลใหญ่ การศึกษาวิจัยต่างๆ พบว่า hydrogen มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ, ต้านการอักเสบ, ยับยั้งโปรแกรมจบชีวิตของเซลล์ (anti-apoptotic) และช่วยปกป้องเซลล์ (cytoprotective)
ในด้านความปลอดภัย : hydrogen ถูกใช้เป็นส่วนผสมสำหรับใช้ในการดำน้ำลึกมาเป็นเวลายาวนาน และในการทดลองทางคลีนิค ก็ไม่ปรากฎผลข้างเคียงแต่อย่างใด ไม่มีความเป็นพิษหรือผลเสียใดๆในการใช้ต่อเนื่องระยะยาว
การที่ Hydrogen สามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์อย่างดีเยี่ยมนี่เอง ทำให้ไฮโดรเจน มีประสิทธิภาพสูงในการใช้ในสภาวะร่างกายที่มีการไหลเวียนเลือดไม่ดี
Hydrogen ปกป้องเราจากอันตราย
Hydrogen ปกป้องเซลล์ของเราจากการถูกทำลายโดยรังสี, สารเคมี และสารพิษโลหะหนัก และยังสามารถช่วยปกป้องผลของ oxidative stress ที่เกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือ, Wi-Fi และรังสี EMF ด้วย นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องเราจากผลข้างเคียงของยา, ยาคีโม และรังสีที่ใช้ในการรักษามะเร็งอีกด้วย ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยรังสีร้ายทำลายเซลล์ แพทย์ใช้รังสีในการวินิจฉัย และรักษาโรคต่างๆมากขึ้น ไฮโดรเจนจึงกลายเป็นอัศวินขี่ม้าขาว มาช่วยเราจากภัยจากสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันโดยแท้
ไฮโดรเจน - เปลวไฟแห่งชีวิต
ดวงอาทิตย์ต้องการไฮโดรเจนในการเผาผลาญให้เกิดพลังงานฉันใด มนุษย์ก็ต้องการไฮโดรเจนในการสร้างพลังงานเช่นเดียวกัน
หากร่างกายเราได้รับไฮโดรเจนอย่างเพียงพอ ไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นโรงงานสร้างพลังงานภายในเซลล์ จะสร้างพลังงานในรูปแบบ ATP ได้ โดยที่เซลล์จะไม่ถูกทำลายจาก oxidative stress เพราะไฮโดรเจนจะไปปกป้องเซลล์ได้ทันท่วงที
Hydrogen เป็นหนึ่งในสสารที่มีมาตั้งแต่โลกใบนี้เกิดขึ้น ทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิง และมีผลต่อพัฒนาการของชีวิตทุกชนิดบนโลกนี้ มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากไฮโดรเจน เมื่อพืชดูดกลืนพลังงานจากแสงอาทิตย์ มันจะเก็บพลังงานไว้ในรูปของไฮโดรเจนไอออน ซึ่งมีประจุลบ โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) เมื่อเรารับประทานพืชผักสด เซลล์ของเราจะได้รับวิตามิน สารอาหาร และไฮโดรเจนไอออน ซึ่งมีประจุลบ จากพืชผักเหล่านั้น ร่างกายจะใช้ทั้งไอโดรเจนและออกซิเจนมาเผาผลาญเพื่อให้ได้พลังงานมาใช้ในชีวิตประจำวัน
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการไฮโดรเจนเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ เราต้องหายใจเอาก๊าซออกซิเจน ต้องกินและดื่มเพื่อให้ได้รับไฮโดรเจน แหล่งของไฮโดรเจนสำหรับมนุษย์ก็คือพืชผัก ผลไม้สดๆ แต่ปัจจุบันเราสามารถดื่มได้จากน้ำที่มีโมเลกุลไฮโดรเจนละลายอยู่
ไฮโดรเจนมาอันดับหนึ่ง
นักดำน้ำทะเลลึกย่อมทราบเรื่องนี้ดี ยิ่งนักดำน้ำต้องดำลงไปลึกมากเท่าไร ก็ต้องมีไฮโดรเจนบรรจุอยู่ในแท้งค์มากขึ้นเท่านั้น
Hydrogen ยังช่วยในด้าน anti-aging อีกด้วย
โมเลกุลไฮโดรเจน ประกอบด้วย 2 โปรตอน (P) และ 2 อีเล็คตรอน (e) มีประจุเป็นกลาง จึงมีขนาดโมเลกุลเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับอีเล็คตรอนที่มีประจุลบ หมายความว่าไฮโดรเจนจะเข้าเซลล์ได้ง่ายกว่าอีเล็คตรอน โดยปกติ เซลล์จะไม่ให้สารที่มีประจุผ่านเข้าเซลล์ได้สะดวก แต่ไฮโดรเจนมีโมเลกุลเล็กมาก และไม่มีประจุ จึงผ่านเข้าเซลล์ เข้าในไมโตคอนเดรียได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่พูดถึงไฮโดรเจน คือ Dr. Szent-Györgyi ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบวิตามินซี และการที่วิตามินซีสามารถรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (scurvy) ได้ในปี 1937 เขายังได้รับรางวัลโนเบลในการค้นพบปฏิกิริยาในการปลดปล่อยพลังงานจากไฮโดรเจน เขาได้อธิบายหนึ่งในกฎพื้นฐานทางชีววิทยาว่า : hydrogen และ oxygen ทำปฏิกิริยากันอย่างสมดุล ในการปลดปล่อยพลังงานให้เซลล์
Dr. Szent-Györgyi ได้กล่าวว่า: “จริงๆแล้ว Hydrogen เป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวที่ร่างกายรู้จัก อาหาร พวกคาร์โบไฮเดรต เป็นเพียงหีบห่อบรรจุไฮโดรเจนให้กับร่างกาย และในกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต หลักๆก็คือ การนำไฮโดรเจนออกมา ดังนั้น กระบวนการที่ร่างกายเผาผลาญไฮโดรเจน จึงเป็นปฏิกิริยาในการสร้างพลังงานอย่างแท้จริง”
Szent-Györgyi เป็นคนแรกที่แสดงให้เราเห็นว่า ร่างกายมนุษย์กักเก็บไฮโดรเจนไว้ในอวัยวะต่างๆได้ เขาเรียกว่า ‘hydrogen pooling’ และเขาพบว่า ตับ เป็นอวัยวะที่เก็บไฮโดรเจนไว้มากที่สุด เพราะตับจำเป็นต้องใช้ไฮโดรเจนในการกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการกำจัดสารพิษที่เกิดขึ้นในตับ เมื่อไฮโดรเจนรวมตัวกับอนุมูลอิสระแล้วจะได้เป็นโมเลกุลของน้ำ
อาหาร เป็นแหล่งแรกที่เราจะได้รับไฮโดรเจน แต่ต้องเป็นอาหารสด ไม่ผ่านการปรุง จึงจะมีไฮโดรเจนอยู่เป็นจำนวนมาก ไฮโดรเจนในอาหาร จะจับรวมตัวกันเป็นโครงสร้างโมเลกุลที่ซับซ้อน ที่ต้องผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกายก่อน เพื่อให้ได้ไฮโดรเจน อากาศที่เราหายใจ ก็มีไฮโดรเจนปริมาณเล็กน้อย ซึ่งสามารถเข้าสู่เซลล์และเนื้อเยื่อได้ในทันทีที่ผ่านทางเดินหายใจเข้าไป ปริมาณไฮโดรเจนในบรรยากาศมีน้อยกว่า 1% ดังนั้น จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ประโยชน์ของโมเลกุลไฮโดรเจนต่อร่างกาย:
- Neuro-protective (ปกป้องระบบประสาท)
- Improves mood disorders (บรรเทาความผิดปกติทางอารมณ์)
- ลดอาการกล้ามเนื้อล้า, ความผิดปกติของการประสานงานของกล้ามเนื้อ และความเสื่อมของกล้ามเนื้อ
- ป้องกันภาวะเมแทบอลิกซินโดรม, ช่วยลดระดับน้ำตาล, อินซูลิน และไตรกลีเซอไรด์: ช่วยในโรคเบาหวาน
- ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant): ป้องกันการทำลายเซลล์สมอง
- ต้านการอักเสบ
- ปกป้องอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
- ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด
- ช่วยในการลดน้ำหนัก
- เพิ่มการทำงานของไมโตคอนเดรีย
- พบว่ามีผลในการป้องกันมะเร็ง โดยลดการเกิด oxidative stress และยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
- พบว่ามีผลช่วยลดอาการข้างเคียงของการรักษามะเร็ง
- ทำให้สุขภาพผิวดี
- ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- ลดความเสียหายจากการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
- ช่วยในอาการกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน
- ปกป้องหัวใจ
- ปกป้อง และบำรุงสุขภาพตาและสายตา
- ป้องกันผมร่วง
- ต่อสู้กับอาการภูมิแพ้
- ช่วยในโรคไต
- ปกป้องตับ
- ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น
- ปกป้องปอด
- ปกป้องผลเสียของรังสี
- ลดอาการปวด
- อาจช่วยให้อายุยืนยาวขึ้น
- ช่วยให้สุขภาพปากและฟันดีขึ้น
- ไม่เป็นอันตราย แม้จะได้รับในความเข้มข้นสูง
เนื่องจากทุกวันนี้ ดินที่ใช้ปลูกพืชนั้นขาดเกลือแร่ มีการใช้ยาฆ่าแมลง,สารเคมี, ปุ๋ยเคมี อาหารก็ถูกการปรุง ไม่รับประทานอาหารสด มีการใช้สารกันเสียในอาหาร น้ำดื่มปนเปื้อนด้วยคลอรีน และฟลูออไรด์ ดังนั้น คนที่ได้รับไฮโดรเจนไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลต่อสุขภาพได้
เมื่อสารเคมีใดๆในร่างกายสูญเสียอีเล็คตรอนไป โมเลกุลนั้นมีประจุบวก (และถูกเรียกว่า "free radicals" หรือ "อนุมูลอิสระ" หรือ "oxidants") โมเลกุลเหล่านี้จะเร่ร่อนไปทั่วร่างกาย คอยแย่งอีเล็คตรอนจากเซลล์อื่นๆ อนุมูลอิสระทำลาย DNA ภายในเซลล์ ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน กล่าวว่า การแก่ (aging) เกิดจากร่างกายมนุษย์ถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ Aging เป็นหลักฐานเด่นชัดถึงการที่เซลล์หลายล้านเซลล์ในร่างกายถูกทำลายจากปฏิกิยาออกซิเดชั่น และปฏิกิยาออกซิเดชั่นนี้เกิดจากการขาด hydrogen anions ที่จะไปหยุดยั้งผลการทำลายล้างของอนุมูลอิสระ
Healing Power
พบว่าโมเลกุลไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพในการใช้ในโรค Rheumatoid arthritis (RA) ซึ่งเป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรัง จนเกิดการทำลายข้ออย่างต่อเนื่องจนเกิดพยาธิสภาพของข้อได้ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิด atherosclerosis (ภาวะหลอดเลือดแข็ง) ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และอาจมีผลเสียถึงชีวิตได้ เป้าหมายในการใช้ไฮโดรเจนคือ การควบคุมการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลให้อาการของโรคดีขึ้นอย่างเดียว แต่ช่วยให้สุขภาพร่างกายโดยรวมของคนไข้ดีขึ้นด้วย
Oxidative stress เกี่ยวข้องกับการที่มี Reactive Oxygen Species (ROS) เกิดขึ้น ซึ่งทำให้มี pro-inflammatory molecules (โมเลกุลส่งเสริมการอักเสบ) เพิ่มมากขึ้น และเกิดการทำลาย DNA ที่อยู่ในไมโตคอนเดรีย ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น ; มะเร็ง, โรคหลอดเลือดหัวใจ, ข้ออักเสบ, โรคความเสื่อมของระบบประสาท และความแก่ชรา การได้รับไฮโดรเจนในปริมาณมาก ช่วยปกป้อง DNA จาก oxidative damage โดยป้องกันการแตกหักของสาย single-strand DNA จากการถูกทำลายโดย ROS, ปกป้อง RNA และ proteins จาก oxidative damage และ เพิ่มประสิทธิภาพในการต้านออกซิเดชั่นของวิตามินซีถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงผลเสียของการเกิดเป็น pro-oxidant ของการรับประทานวิตามินซีในขนาดสูง
The vast majority of animals and plants are able to synthesize vitamin C, through a sequence of enzyme-driven steps. However, some animals, including guinea pigs and humans, lack the enzyme that is required in the last step of vitamin C synthesis. These species are able to survive with the lower levels available from their diets by recycling oxidized vitamin C. Animals that have the enzyme needed to synthesize of vitamin C do not have the ability to recycle oxidized vitamin C.
Thus, for us humans having a supplement that provides molecular hydrogen in high quantities is going to extend our stores of Vitamin C and this is life enhancement at its best. Molecular hydrogen will create a feedback loop and an updraft that lifts the activity of all antioxidants because an adequate supply of vitamin C enables the regeneration of vitamin E and other antioxidants in the body.
Interestingly, water, which is essential to life, is formed by the combination of oxygen (a powerful oxidizer) and hydrogen (a powerful reducer). It make sense that molecular hydrogen has high-powered therapeutic potential as does water itself. Hydrogen is a novel and innovative therapeutic tool and can be used like intravenous vitamin C therapy except it is vastly less expensive, and can be used every day around the clock—with every sip of water and with an inhaler one can pour hydrogen into the body directly through the lungs