การขาดวิตามินดี: เราต้องการวิตามิน D มากแค่ไหน?
วิตามินดีเป็นชื่อของกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมันที่พบในน้ำมันตับปลา และปลาที่มีไขมันเช่น ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล วิตามินเหล่านี้จำเป็นสำหรับการดูดซึมแคลเซียม, เหล็ก, ฟอสเฟต, แมกนีเซียม และสังกะสี Cholecalciferol หรือที่เรียกว่าวิตามิน D3 - สร้างขึ้นโดยเซลล์ผิวหนังเมื่อรังสีอัลตราไวโอเลต (โดยเฉพาะรังสี UV-B) จากแสงแดดตกบนผิวหนัง
วิตามินดีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นจากแสงแดด, อาหาร และอาหารเสริม จะไม่ออกฤทธิ์และต้องผ่านปฏิกิริยาเคมี 2 อย่างภายในร่างกายเพื่อกระตุ้นการทำงาน
ปฏิกิริยาแรกเกิดขึ้นในตับ และเปลี่ยนวิตามินดีเป็น 25-hydroxyvitamin D วิตามินดีรูปแบบนี้ใช้ในการกำหนดสถานะวิตามินดีในร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีที่ 2 เกิดขึ้นในไต เพื่อสร้างรูปแบบที่ใช้งานได้ ซึ่งเรียกว่า 1,25-dihydroxyvitamin D.
วิตามินดี ช่วยรักษาระดับแคลเซียม และฟอสเฟตในเลือด ทำให้กระดูกมีแร่ธาตุ และมีสุขภาพดี ตามที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ระบุว่า “หากไม่มีวิตามินดีเพียงพอ กระดูกจะเปราะบาง หรือผิดรูปร่างได้”
การขาดวิตามินดีเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การขาดวิตามินดี เกิดขึ้นเมื่อการบริโภคต่ำกว่าระดับที่แนะนำ, การสัมผัสกับแสงแดดมี จำกัด, ไตไม่สามารถเปลี่ยนวิตามินดี 25 ไฮดรอกซีไปเป็นรูปแบบที่ใช้งานได้ หรือเมื่อการดูดซึมจากลำไส้ไม่เพียงพอ
เนื่องจากวิตามินดี มักถูกเพิ่มเข้าไปในผลิตภัณฑ์นม การมีอาการแพ้นม หรือการแพ้แลคโตส ,การกินเจ และการทานมังสวิรัติ (ที่ไม่มีการบริโภคนม) อาจทำให้ระดับวิตามินดีลดลง
สัญญาณทั่วไปของการขาดวิตามินดี
อาการอย่างหนึ่งของการขาดวิตามินดีคือ เหงื่อออกมากที่ศีรษะ การขับเหงื่อออกมากเกินไปในทารกแรกเกิดถือเป็นอาการเริ่มแรกของการขาดวิตามินดี
อาการอีกอย่างหนึ่งของการขาดวิตามินดีในเด็กคือ โรคกระดูกอ่อน (rickets) ซึ่งเนื้อเยื่อกระดูกไม่ได้รับการสร้างแร่ธาตุอย่างเหมาะสม ซึ่งนำไปสู่การเกิดกระดูกนิ่ม และความผิดปกติของโครงกระดูก
การเสริมวิตามินดีลงในนม ทำให้โรคกระดูกอ่อนกลายเป็นโรคที่หายากในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมกันแดดมากเกินไป และใช้เวลาอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่โดยมีแสงแดดจำกัด ตลอดจนความแตกต่างทางพันธุกรรมในการเผาผลาญอาหารยังคงทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็กในปัจจุบันได้
การขาดวิตามินดีในผู้ใหญ่: ร่างกายต้องการเท่าไหร่?
อาการที่พบบ่อยของการขาดวิตามินดีในผู้ใหญ่คือ osteomalacia ซึ่งเป็นภาวะที่กระดูกนิ่มและมีอาการปวดเมื่อยตามตัว นี่เป็นผลจากการเผาผลาญของกระดูกบกพร่อง เนื่องจากระดับฟอสเฟต, แคลเซียม และวิตามินดีไม่เพียงพอ อาการอีกอย่างหนึ่งคือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
จากข้อมูลของ Mayo Clinic การขาดวิตามินดี เป็นภาวะที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย ซึ่งขณะนี้มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคเบาหวานประเภท 1, โรคหัวใจ และหลอดเลือด, มะเร็งบางชนิด, มีผลต่อความจำ, ภาวะซึมเศร้า, ภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์, ภูมิต้านทานผิดปกติ และโรคภูมิแพ้
ในรายงานของพวกเขาในปี 2013 นักวิจัยของ Mayo Clinic ยังรายงานว่า ระดับวิตามินดีในระดับต่ำในระหว่างตั้งครรภ์ และในวัยทารก ดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจิตเภท, โรคเบาหวานประเภท 1 และโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม (MS) ในชีวิตในภายหลัง
แม้ว่าจะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า วิตามินดีน้อยเกินไปจะเป็นอันตราย แต่ก็มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับระดับของ 25-hydroxyvitamin D ที่จำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพของกระดูก
คณะกรรมการของสถาบันการแพทย์ในวอชิงตัน ดี.ซี. เห็นพ้องกันว่า ผู้คนมีความเสี่ยงต่อการ "ขาด" วิตามินดี (25-hydroxy vitamin D) คือระดับที่น้อยกว่า 30 นาโนโมลต่อลิตร (nmol / L) หรือ 12 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร (ng / มล.) นอกจากนี้คณะกรรมการระบุว่า ผู้คนมีความเสี่ยงต่อการได้รับวิตามินดี "ไม่เพียงพอ" ในระดับตั้งแต่ 30-50 นาโนโมล / ลิตรหรือ 12-20 นาโนกรัม / มิลลิลิตร
ตามที่สถาบันระบุว่า วิตามินดี ที่ “เพียงพอ” คือ ระดับที่เท่ากับหรือมากกว่า 50 นาโนโมล / ลิตรหรือ 20 นาโนกรัม / มิลลิลิตร แต่อย่างไรก็ตาม หากระดับวิตามินดี 25-hydroxy ในเลือดมากกว่า 125 nmol / L หรือ 50 ng / mL อาจมีผลเสียเกิดขึ้นได้
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน (RDA) สำหรับวิตามินดี จริงๆแล้วเท่าไหร่?
นักวิจัยจาก UC San Diego และ Creighton University ได้ท้วงติง RDA สำหรับวิตามินดีที่แนะนำโดย National Academy of Sciences (NAS) Institute of Medicine (IOM) นักวิจัยของมหาวิทยาลัยระบุว่า NAS-IOM คำนวนคณิตศาสตร์ผิดพลาดและประเมิน RDA ต่ำเกินไปเกือบสิบเท่า!
ตามที่ Dr. Cedric F.Garland, Adjunct Professor ที่ UC San Diego’s Department of Family Medicine and Public Health,
“ข้อผิดพลาดนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสุขภาพของประชาชน เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบรรลุเป้าหมายที่ระบุไว้เพื่อให้แน่ใจว่าประชากรทั้งหมดมีวิตามินดีเพียงพอที่จะรักษาสุขภาพของกระดูก”
Robert Heaney, MD จาก Creighton University เขียนเพิ่มเติมว่า:
“เราเรียกร้องให้ NAS-IOM และหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั้งหมด…กำหนด RDA ของวิตามินดีประมาณ 7,000 IU / วันจากแหล่งที่มาทั้งหมด”
จากคำแนะนำที่แก้ไขนี้ การได้รับวิตามินดีต่ำกว่า 10,000 IU / วัน เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี
การได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอจากแหล่งอาหารเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องยาก การบริโภคอาหารเสริม และการได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการหลีกเลี่ยงอาการขาดวิตามินดี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจจำเป็นเช่นกัน
สถานการณ์ต่อไปนี้อาจนำไปสู่การขาดวิตามินดี:
- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ - ความต้องการวิตามินดีไม่สามารถตอบสนองได้ด้วยนมมนุษย์เพียงอย่างเดียว โรคกระดูกอ่อนทางโภชนาการ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเด็กแอฟริกันอเมริกันที่กินนมแม่ American Academy of Pediatrics (AAP) แนะนำให้ทารกที่กินนมแม่เพียงอย่างเดียวและบางส่วน เสริมด้วยวิตามินดี 400 IU ทุกวัน
- อายุ - ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ เนื่องจากผิวหนังไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่ออายุมากขึ้นพวกเขามักจะใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น และอาจไม่ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอในอาหารของพวกเขา มีการคาดการณ์ว่าผู้สูงอายุจำนวนมากถึงครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่มีอาการกระดูกสะโพกหัก อาจเป็นโรคขาดวิตามินดี
- การได้รับแสงแดดอย่างจำกัด - ผู้ที่อยู่แต่ในบ้าน, ชายและหญิงที่สวมเสื้อคลุมยาวและคลุมศีรษะด้วยเหตุผลทางศาสนา และผู้ที่มีอาชีพที่สัมผัสแสงแดดอย่างจำกัด ไม่น่าจะได้รับวิตามินดีเพียงพอจากแสงแดด
- ผิวคล้ำ - ระดับเมลานินที่สูงขึ้นจะลดความสามารถของผิวในการผลิตวิตามินดีจากแสงแดด อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าระดับ 25-hydroxyvitamin D ในเลือดที่ลดลงในคนที่มีผิวสีเข้ม จะมีผลกระทบต่อสุขภาพเช่นเดียวกับคนที่มีผิวสีอ่อนหรือไม่
- โรคลำไส้อักเสบ (IBD) และภาวะอื่น ๆ ที่มีผลต่อการดูดซึมไขมัน - เนื่องจากวิตามินดีละลายในไขมัน การดูดซึมจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูดซับไขมันในอาหารของลำไส้ บุคคลที่ไม่สามารถดูดซึมไขมันในอาหารได้อย่างถูกต้องเนื่องจากโรคตับ, โรคซิสติกไฟโบรซิส, โรคช่องท้อง, โรคโครห์น และลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล จะต้องได้รับวิตามินดีเสริม
- โรคอ้วน - ดัชนีมวลกาย (BMI) ที่เท่ากับหรือมากกว่า 30 สัมพันธ์กับระดับ 25-hydroxyvitamin D ในเลือดที่ลดลง คนอ้วนจำเป็นต้องกินวิตามินดีมากขึ้น เนื่องจากไขมันใต้ผิวหนังจับตัว และกักเก็บ 25-hydroxyvitamin D ไว้ ซึ่งจะชะลอการปล่อยสู่เลือด
โรคกระดูกพรุนเป็นอาการของการขาดวิตามินดีหรือไม่?
ผู้ใหญ่มากกว่า 40 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา มีหรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งมวลกระดูกต่ำ และการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อกระดูกจะเพิ่มความเปราะบางของกระดูก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการแตกหักอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากการบริโภคแคลเซียมไม่เพียงพอแล้ววิตามินดีที่ไม่เพียงพอยังก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนโดยลดการดูดซึมแคลเซียม
การรักษาระดับวิตามินดีที่เหมาะสม จะช่วยสนับสนุนความแข็งแรงของกระดูก ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีปัญหาในการออกกำลังกาย และสตรีวัยหมดประจำเดือน