AMI 750
ประวัติของ Cymatherapy ™
Mandara Cromwell เป็นซีอีโอของ Cyma Technologies และรับผิดชอบในการนำผลงานของ Dr. Peter Guy Manners ไปยังสหรัฐอเมริกา เธอพัฒนางานวิจัยมากว่า 40 ปีพร้อมกับการค้นพบใหม่ ๆ ของนักวิทยาศาสตร์และแพทย์คนอื่น ๆ ในอุปกรณ์เทคโนโลยีเสียงขั้นสูงที่ผลิตโดย Cyma Technologies ซึ่งตอนนี้มีให้สำหรับผู้บริโภคแล้ว
Dr. Manners ทำงานมาตั้งแต่ช่วงปี 1940 โดยมีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ ร่วมมือกันในการค้นคว้าเกี่ยวกับสัญญาณชีวิต (biosignatures) ของร่างกายมนุษย์ ในช่วงเวลานั้นเขาและกลุ่มของเขาได้พัฒนาการแปลงกระแสไฟให้เดินกลับกัน (commutations) มากกว่า 700 แบบเพื่อระบุความถี่ที่แม่นยำซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเนื้อเยื่อ และอวัยวะที่มีสุขภาพดี การเปลี่ยนแต่ละแบบ ประกอบด้วยความถี่ฮาร์มอนิกของเสียงที่ได้ยินได้ 5 ความถี่ ซึ่งสนับสนุนการปรับสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ และซิงโครไนซ์ความถี่ของเซลล์ให้กลับสู่สภาพปกติของการสั่นพ้อง (vibrational resonance)
ในขณะที่ ดร. Manners และเพื่อนร่วมงานกำลังดำเนินการวิจัย แพทย์ชาวสวิสอีกคนชื่อ ฮันส์ เจนนี่ กำลังทำการทดลอง "ไซมาติก" (คลื่นเสียง) เจนนี่ตั้งคำศัพท์ใหม่ว่า "cymatics" ซึ่งมาจากคำภาษากรีกแปลว่า "คลื่น" เนื่องจากความเคารพในผลงานของเจนนี่ Dr.Manners จึงตั้งชื่องานของเขาว่า "cymatic therapy"
คุณครอมเวลล์เริ่มเดินทางไปสหราชอาณาจักรในปี 2544 เพื่อศึกษากับ ดร. แมนเนอร์ส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเธอเพื่อนำพัฒนาการด้านการรักษาโรคเหล่านี้มาสู่สหรัฐอเมริกา ครั้งหนึ่งในระหว่างการไปเยี่ยม ดร. แมนเนอร์ส ดร. แมนเนอร์ส ให้การวิจัยของเขากับ คุณครอมเวลล์ และกล่าวว่า “ผมทำงานชิ้นนี้เท่าที่จะทำได้แล้ว ตอนนี้ถึงตาคุณ”
Dr. Manners ได้ปิดคลินิก Bretforton ซึ่งมีผู้คนจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมเพื่อเรียนรู้การบำบัดแบบ Cymatic ในปี 2005 จากนั้นในปี 2009 Dr. Manners ได้เสียชีวิตลง และย้ายเข้าสู่อาณาจักรแห่งเสียงสวรรค์
ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นเป็นต้นมา Ms. Cromwell ได้นำเครื่องดนตรีดั้งเดิมที่ Dr.Manners ทำงานด้วยเช่นซีรีส์ Mark และ Cyma 1000 และพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่พบในอุปกรณ์ AMI - Acoustic Meridian Intelligence ™ ที่นำเสนอโดย Cyma Technologies ในทุกวันนี้
คุณครอมเวลล์เป็นผู้บัญญัติศัพท์ว่า Cymatherapy ™ เพื่ออุทิศแก่การทำงานของ Dr. Manners และได้กำเนิดวิวัฒนาการของอุปกรณ์และลักษณะการรักษาของเสียงบำบัด ในปี 2013 AMI 750 ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ของ Ms. Cromwell ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Thomas Edison Award for Innovation ในสาขาวิทยาศาสตร์และการแพทย์
นอกจากนวัตกรรมของเธอในเรื่องเทคโนโลยีเสียงขั้นสูงแล้ว Ms. Cromwell ยังก่อตั้ง ISTA (International Sound Therapy Association) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่อุทิศตนเพื่อเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับพลังของเสียงในสภาพแวดล้อมของเราและผลการรักษา ISTA จัดหาและส่งเสริมการศึกษาในรูปแบบเสียงเพื่อการบำบัด คุณครอมเวลล์บรรยายวิชาการในนามของ ISTA และ Cyma Technologies โดยนำเสนอเสียงบำบัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยาแห่งอนาคตให้กับผู้คนทั่วโลก
จากการศึกษาส่วนตัวและการวิจัยหลายทศวรรษโดยผู้บุกเบิกในสาขาเวชศาสตร์การสั่นสะเทือน (vibrational medicine) เราได้เห็นผลการรักษาอันทรงพลังของเสียงบำบัด
Cymatherapy ™ คือ การใช้คลื่นความถี่ หรือคลื่นเสียงเพื่อสร้างสุขภาพที่สดใสผ่านเทคโนโลยีเสียงขั้นสูง ในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมาของการสำรวจ เพื่อนร่วมงานและผู้ปฏิบัติงานหลายคนได้เห็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของการบำบัดแบบใหม่นี้ ซึ่ง Mandara Cromwell ได้นำไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 2544
จากการศึกษาของ Mandara Cromwell เธอได้เรียนรู้ว่า เสียงสามารถนำไปใช้กับร่างกายผ่านทางผิวหนัง ซึ่งส่งผลให้เกิดวิสัยทัศน์และนวัตกรรมของอุปกรณ์ AMI - Acoustic Meridian Intelligence ™ ในปี 2013
Mandara Cromwell ทุ่มเทเพื่อทำให้รูปแบบการบำบัดนี้พร้อมใช้งานสำหรับทุกคน และความหวังของเธอคือ ข้อมูลที่คุณพบในที่นี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณสำรวจความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด เพื่อสุขภาพที่สดใสสำหรับผู้ป่วย, ลูกค้า และคนที่คุณรัก
แนวคิด
ในปี 2009 Mandara Cromwell ได้จินตนาการถึงอุปกรณ์ที่จะส่งผ่านความถี่ในการรักษา ผ่านฝ่าเท้าในรูปแบบของพลังงานเสียง ที่ไหลไปตามเส้นลมปราณ (meridian pathways) ตามที่อ้างถึงในตำรายาจีนโบราณ เธอตั้งชื่อมันว่า AMI 750
ใช้ประโยชน์จากแหล่งความรู้เรื่อง SOUND SCIENCE โดย Mandara Cromwell
“Cymatics เป็นศาสตร์แห่งการทำให้เกิดเสียงที่มองเห็นได้ ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่
ความก้าวหน้าตอนนี้เราสามารถสำรวจโลกแห่งเสียงที่มองไม่เห็นได้แล้ว
สิ่งที่เราถือว่าเป็นเสียงที่สวยงาม แสดงเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่สวยงาม"
เสียงมีผลต่อเราในหลาย ๆ ด้าน ส่งผลกระทบต่อร่างกาย, อารมณ์ และสุขภาพจิตของเรา
มีเสียงที่ทำให้เรา "ขยับ" เช่น เสียงไซเรนที่ส่งสัญญาณให้เราทราบทันทีว่า เราต้อง “ขยับ” แล้วปล่อยให้รถพยาบาล, รถดับเพลิง หรือตำรวจผ่านไป
เสียงของ "ร้านกาแฟ" เช่น เสียงหวีดของเครื่องเอสเปรสโซ รวมกับกลิ่นกาแฟสด, ขนมอบ และของหวาน ส่งสัญญาณให้สมองเรารู้ว่า ถึงเวลาเอาอะไรเข้าปากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นของเหลว, ของแข็ง หรือทั้งสองอย่าง
“เสียงร้านอาหาร” อาจแตกต่างกันไปตั้งแต่เสียงเคาะ และกระทบกันของจาน ไปจนถึงเสียงเพลงประกอบที่เป็นพื้นหลังด้วยจังหวะช้าๆ หรือรวดเร็ว ซึ่งบางครั้งก็ไม่เป็นพื้นหลังเลย!
Deepak Chopra กล่าวว่า เรา “metabolize เสียงทั้งหมดในสภาพแวดล้อมของเรา" เราสามารถทำการ "ตรวจสอบเสียง" ในสภาพแวดล้อมของเราได้ทุกเมื่อ และถามตัวเองว่า “เสียงเหล่านี้เพิ่ม หรือลดพลังงานของเรา? เสียงเหล่านี้มีผลอย่างไรต่อความสามารถในการโฟกัสและสมาธิของเรา?”
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเสียง
เพื่อช่วยให้เข้าใจเรื่องเสียง ขอแนะนำอีกด้านหนึ่งของเหรียญ นั่นคือ พลังงานแสง (light) แสงที่มองเห็นได้ (Visible light) เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic spectrum) พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาในรูปของชิ้นส่วนที่ประกอบด้วยอนุภาคแสงเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โฟตอน (photons) ในระดับชีวภาพ แสงนี้เรียกว่า ไบโอโฟตอน (biophoton)
เสียงเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า เสียงคือ คลื่นของแรงกดดัน เป็น คลื่นกล (mechanical wave) และต้องใช้สื่อ เช่น อากาศ หรือน้ำ ในการแพร่กระจาย phonon (โฟนอน) คือปริมาณพลังงานอะคูสติก หรือพลังงานจากการสั่นสะเทือน biophonon (พลังงานเสียง) อยู่เคียงข้าง biophoton (พลังงานแสง) และเป็นองค์ประกอบภายในโครงสร้างทางชีววิทยาของเรา ดังนั้น เสียงและแสงจึงอยู่เคียงข้างกัน นักฟิสิกส์บอกเราว่า เสียงสร้างโครงสร้างสำหรับแสงในการสื่อสาร
นักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์กตั้งทฤษฎีว่า ระบบประสาทของเราสื่อสารกันผ่านแรงกระตุ้นของเสียง ไม่ใช่ไฟฟ้า ในมุมมองของฉัน เสียงนำหน้าสัญญาณไฟฟ้าเคมีภายในร่างกาย
ตอนนี้เรามาใช้หลักการของ sonoluminescence (โซโนลูมิเนสเซนต์) คือ การเปล่งแสงที่ระเบิดจากฟองอากาศในของเหลวเมื่อถูกกระตุ้นด้วยเสียง เสียงสร้างรูปแบบของแสงในการ
สื่อสาร และสัญญาณจากการสั่นสะเทือน (เสียง) ในระดับเซลล์ จะจุดประกายให้เกิดแสงขึ้น เสียงและแสงจึงเริ่มการเต้นระดับเซลล์ขึ้น ส่งผลให้เกิดวงออเคสตราที่ไพเราะของร่างกายมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่สวยงาม!
Cymatics เป็นศาสตร์แห่งการทำเสียงให้สามารถมองเห็นได้ ผ่านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน เราสามารถทำได้แล้ว เราสามารถสำรวจโลกแห่งเสียงที่มองไม่เห็น สิ่งที่เราถือว่าเป็นเสียงที่สวยงาม จะแสดงในรูปทรงเรขาคณิตที่ประณีตและวิจิตรงดงาม เสียงที่แสลงหู จะแสดงเป็นภาพที่ไม่น่าสนใจ
ผ่านองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (National Aeronautics and Space Administration) หรือ องค์การนาซา (NASA) เสียงที่ปล่อยออกมาจากดาวเคราะห์ (และดวงดาวมากมาย) ถูกจับได้ เสียงเหล่านี้ถูกป้อนเข้าสู่ "cyma scope" (ไซมาสโคป - เครื่องมือที่สามารถอ่านคลื่นความถี่เสียง และแสดงผลออกมาบนจอภาพมอนิเตอร์ ) และแต่ละเสียงก็แสดงให้เห็นความงดงามของตัวเอง
ขณะนี้นักวิจัยกำลังดำเนินการเพื่อจับภาพเสียงของเซลล์ของเรา - เซลล์ที่แข็งแรงและไม่แข็งแรง John Stuart Reid ผู้ประดิษฐ์ CymaScope รายงานว่า “สิ่งนี้อาจทำให้เกิดวิทยาศาสตร์ใหม่ที่เราอาจเรียกว่า “biocymatics” คือ การศึกษาคุณสมบัติทางชีววิทยาของเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยการตรวจสอบผลกระทบที่เกิดจากรูปแบบของคลื่นน้ำที่เกิดจากเสียง (sound-induced water-wave patterns) การประยุกต์ใช้ biocymatics ในอนาคต อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบไบโอมาร์คเกอร์ของเรา ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจด้านวิทยาศาสตร์เสียง
Mandara Cromwell เป็นผู้ก่อตั้งและประธานคณะกรรมการของ The International Sound Therapy Association (ISTA), ผู้ผลิต Cymatics—The Science of Sound and Vibrational Healing Annual Conference, ซีอีโอ และประธานบริษัท Cyma Technologies, Inc. และผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปี 2013 สำหรับ Thomas Edison Award for Innovation ในสาขาวิทยาศาสตร์และยา สำหรับ AMI 750 www.ISTASounds.org