อัตราส่วนโซเดียม / โพแทสเซียม เชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
โซเดียมมักถูกตำหนิว่า ทำให้ความดันโลหิตสูง ในขณะที่โพแทสเซียมได้รับการยกย่องว่า ช่วยรักษาความดันโลหิตไม่ให้สูง จริงๆแล้วมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะแยกแร่ธาตุทั้งสองนี้ออกจากกัน เนื่องจากพวกมันทำงานควบคู่กันไปทั่วร่างกาย อัตราส่วนของโซเดียมต่อโพแทสเซียมในอาหารอาจสำคัญกว่าปริมาณของอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ตามการศึกษาใหม่ สารอาหารสองชนิด คือ โซเดียมและโพแทสเซียม มีแนวโน้มที่จะทำงานร่วมกันเพื่อส่งผลต่อความดันโลหิตและความเสี่ยงโรคหัวใจ
ชาวอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่เกือบ 1 ใน 3 มีความดันโลหิตสูง (140/90 mmHg หรือสูงกว่า) และประมาณ 37% มีภาวะ pre-hypertension (120-139 / 80-89 mmHg) ความดันโลหิตสูงเป็นอันตรายเนื่องจากทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป และเพิ่มความเสี่ยงต่อ cardiovascular diseases เช่น โรคหัวใจ และ Stroke (โรคหลอดเลือดสมอง) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 และ 3 ทั่วประเทศ
ในอดีต นักวิจัยที่ได้รับทุนจาก NIH’s National Heart, Lung and Blood Institute (NHLBI) แสดงให้เห็นว่า ความพยายามในระยะยาวเพื่อลดปริมาณโซเดียมในผู้ที่มีภาวะ prehypertension สามารถลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
การทดลองใหม่เพื่อติดตามผลการป้องกันความดันโลหิตสูง (Trials of Hypertension Prevention Follow-up Study) มีผู้เข้าร่วมเกือบ 3,000 คน ที่อายุ 30 ถึง 54 ปี และมีภาวะ prehypertension นักวิจัยเก็บปัสสาวะเป็นระยะ ๆ ในช่วง 24 ชั่วโมง นานกว่า 18 เดือนในการทดลองหนึ่ง และ 36 เดือน ในอีกการทดลองหนึ่ง จากนั้นพวกเขาเปรียบเทียบระดับโซเดียมและโพแทสเซียมในปัสสาวะกับโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ตามมาในช่วง 10 ถึง 15 ปีของการติดตามผล
ผลการวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Internal Medicine เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2552 พบว่า มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากมีอัตราส่วนโซเดียมต่อโพแทสเซียมสูงขึ้น อัตราส่วนโซเดียม / โพแทสเซียมที่สูง เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้เข้าร่วมในการศึกษา มากกว่าระดับโซเดียมหรือโพแทสเซียมเพียงอย่างเดียว
ผลลัพธ์เหล่านี้สนับสนุนการค้นพบก่อนหน้านี้ว่า การลดปริมาณโซเดียมในอาหารในขณะที่บริโภคโพแทสเซียมเพิ่มขึ้น สามารถลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ “นั่นหมายความว่า ประชากรทั่วไปควรรับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ และมีโพแทสเซียมสูง” ดร. Eva Obarzanek จากแผนกป้องกันและศึกษาประชากร (Division of Prevention and Population Studies) ของ NHLBI ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนร่วมของการศึกษากล่าว
บรรพบุรุษผู้เป็นนักล่าในยุคหินของเรา รับประทานโพแทสเซียมประมาณ 11,000 มิลลิกรัม (มก.) ต่อวัน จากผลไม้, ผัก, ใบไม้, ดอกไม้, รากไม้ และแหล่งพืชอื่น ๆ และโซเดียมต่ำกว่า 700 มก. นั่นคืออัตราส่วนโซเดียมต่อโพแทสเซียม 1 ต่อ 16
การสำรวจโภชนาการแห่งชาติล่าสุดแสดงให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยแล้วชาวอเมริกันบริโภคโซเดียมประมาณ 3300 มก. ต่อวัน (เกลือเกือบ 1-1/2 ช้อนชาต่อวัน) และโพแทสเซียม 2600 มก. ต่อวัน ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายที่แนะนำคือ 2300 มก. หรือน้อยกว่าสำหรับโซเดียม และ 4700 มก. หรือมากกว่าสำหรับโพแทสเซียม ในความเป็นจริงรายงานล่าสุดพบว่า มีเพียง 13% ของประชากรที่บรรลุเป้าหมายโซเดียม และต่ำกว่า 5% ที่บรรลุเป้าหมายโพแทสเซียม
“ก่อนอื่น เราต้องอ่านฉลากโภชนาการบนอาหาร และเลือกอาหารที่มีโซเดียมต่ำ” Obarzanek กล่าว “เราสามารถคุ้นเคยกับระดับโซเดียมที่ลดลงได้ หากยังคงบริโภคอาหารที่มีโซเดียมต่ำอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปรสชาติและความชอบเกลือจะลดลง”
คุณสามารถเพิ่มปริมาณโพแทสเซียมได้ โดยเลือกอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปมากขึ้นเช่นผลไม้, ผัก, ธัญพืช, เนื้อสด หรือแช่แข็ง, สัตว์ปีก และปลา และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน แหล่งโพแทสเซียมที่ดี ได้แก่ กล้วย, ถั่วดำ, ส้ม, อะโวคาโด และลูกเกด อาหารเหล่านี้มักจะมีโซเดียมต่ำเช่นกัน
การเพิ่มปริมาณโพแทสเซียม แม้ว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับหลาย ๆ คน แต่ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่เป็นโรคไต หรือหัวใจล้มเหลว หรือผู้ที่รับประทานยาขับปัสสาวะบางชนิด
ข้อมูลจาก Harvard Health Publishing และ https://www.nih.gov/