Bio-Selenium+Zinc
กลุ่มของสารต้านอนุมูลอิสระในอุดมคติ ที่ประกอบด้วย SelenoPrecise
ประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการวิจัยมากกว่า 25 ปี
ซีลีเนียมยีสต์บริสุทธิ์ (SelenoPrecise) สังกะสี และวิตามิน A, B6, C และ E
- ซีลีเนียมและสังกะสี ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- วิตามินอี มีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากความเครียดออกซิเดชั่น (oxidative stress)
- วิตามินเอ ช่วยบำรุงผิวพรรณและการมองเห็นให้เป็นปกติ
- วิตามินซี ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน, การทำงานของกระดูก, เหงือก, ฟัน และกระดูกอ่อน
- วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
- ผลิตภายใต้การควบคุมด้านเภสัชกรรมของเดนมาร์ก
1 เม็ดประกอบด้วย | |
ซีลีเนียม (SelenoPrecise) | 50 µg |
สังกะสี (กลูโคเนต) | 15 mg |
วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) | 800 µg RE |
วิตามินบี6 | 1.6 mg |
วิตามินซี | 60 mg |
วิตามินอี | 10 mg a-TE |
ข้อมูลผลิตภัณฑ์
ขนาดรับประทาน : วันละ 1 เม็ด หรือ ตามคำแนะนำของแพทย์ หรือ เภสัชกร ควรรับประทานระหว่าง/หลังอาหาร, ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี, อย่ารับประทานเกินปริมาณที่แนะนำต่อวัน
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ควรทดแทนอาหารที่หลากหลาย, วิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีและการรับประทานอาหารที่สมดุลหลากหลายมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพที่ดี
การจัดเก็บ : ควรเก็บในที่มืด และแห้ง ที่อุณหภูมิห้อง เก็บให้พ้นมือเด็ก
ส่วนผสม : สังกะสี (กลูโคเนต), วิตามินซี, ซีลีเนียมยีสต์ (SelenoPrecise *), สารเพิ่มปริมาณ (microcristallene เซลลูโลส), วิตามินอี, วิตามินเอ, ทัลค์, ซีอิน (zein), ซิลิกอน ไดออกไซด์, วิตามินบี 6, magnesium stearate, สี (เหล็ก ออกไซด์, ไททาเนียม ไดออกไซด์)
Bio-Selenium + Zinc คืออะไร?
ส่วนผสมของไบโอซีลีเนียม + สังกะสี ´ประกอบด้วย: ซีลีเนียม, สังกะสี, วิตามินเอ, วิตามินบี 6, วิตามินซี และวิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระในส่วนประกอบที่เป็นเอกลักษณ์นี้ อยู่ในตลาดมานานกว่า 25 ปี ส่งเสริม, ปกป้อง และเติมเต็ม ซึ่งกันและกัน การทำงานร่วมกันของส่วนประกอบที่คุณภาพสูงเหล่านี้ ทำให้ Bio-Selenium + Zinc เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สมบูรณ์แบบ
ประกอบด้วย SelenoPrecise®
Bio-Selenium + Zinc ประกอบด้วยซีลีเนียม 50 ไมโครกรัม ในรูปแบบของ SelenoPrecise ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ Pharma Nord SelenoPrecise มีการดูดซึมได้ง่าย ประกอบด้วยซีลีเนียม - เมไทโอนีน 67% และซีลีเนียมในรูปแบบอื่น ๆ 33% ซึ่งสอดคล้องกับที่เราได้รับจากอาหารที่อุดมไปด้วยซีลีเนียม ซีลีเนียมใน 1 เม็ด ถูกดูดซึมได้มากถึง 89%
การดูดซึมจะเพิ่มขึ้นอีก เมื่อซีลีเนียมรวมกับวิตามิน A, B6, C, E และสังกะสี
ซีลีเนียมคืออะไร?
ซีลีเนียม ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในการรักษารังแค แต่แร่ธาตุที่จำเป็นนี้ (จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น) มีความสำคัญในทางโภชนาการ เมื่อรับประทานร่วมกับเบต้าแคโรทีน, วิตามินอี และซี ซีลีเนียมตามผลการวิจัยล่าสุด สามารถป้องกันการสร้างอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ
ซีลีเนียม ยังมีส่วนเชื่อมต่อกับโปรตีนเนื่องจากมันถูกรวมเข้ากับการสร้างซีลีโนโปรตีน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ โดยมีความสามารถในการหยุดโมเลกุลดีเอ็นเอที่เสียหายจากการจำลองแบบ และป้องกันไม่ให้เนื้องอกเจริญเติบโต
นอกจากนี้ ซีลีเนียม ยังเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเมแทบอลิซึมของไอโอดีน และมีส่วนช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน หากคนใดคนหนึ่งขาดไอโอดีน ก็โอกาสที่พวกเขาจะขาดซีลีเนียม ซีลีเนียม มีบทบาทในการควบคุมต่อมไทรอยด์ และในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ตาม NaturalNews.com กิจกรรมที่ลดลงในส่วนของฮอร์โมนไทรอยด์อาจเป็นสัญญาณของการขาดซีลีเนียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะพร่องไทรอยด์
จากการศึกษาล่าสุดใน American Journal of Epidemiology พบว่า ปริมาณซีลีเนียมที่ได้รับในตลอดช่วงชีวิต อาจส่งผลต่อการที่บุคคลสามารถรักษาระบบความรู้ความเข้าใจได้ดีเมื่ออายุมากขึ้น ชี้ให้เห็นว่า ระดับซีลีเนียมที่เพียงพออาจช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์
โรคที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการขาดซีลีเนียม:
โรค Keshan (คีชาน) - ภาวะนี้เกิดขึ้นในเด็กและมีลักษณะการทำงานของหัวใจที่ขยายใหญ่ขึ้นและไม่ดี โรคนี้พบครั้งแรกในประเทศจีนในช่วงต้นทศวรรษ 1930 และยังคงพบเห็นได้ในพื้นที่ชนบทของจีนที่ระดับซีลีเนียมในดินอยู่ในระดับต่ำ
โรค Kashin Beck (คาชีน-เบค) - ภาวะที่มีผลต่อข้อต่อและกระดูกหรือที่เรียกว่า osteoarthropathy
Myxedematous - ภาวะธัยรอยด์พร่องในเด็กแรกเกิด ส่งผลให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน
การวิจัยในปัจจุบันเกี่ยวกับซีลีเนียม
โรคหัวใจ - แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอาจกล่าวว่า ยาเป็นวิธีเดียวในการป้องกันและรักษาโรค แต่หน่วยงานทางการแพทย์ในประเทศจีนก็พบคำตอบโดยใช้แนวทางเชิงรุกในการรักษาและป้องกันโรคเคซาน (โรคที่เกิดจากการขาดซีลีเนียม และภาวะหัวใจล้มเหลวชนิดหนึ่ง ที่ทำให้หัวใจโต, กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ และเสียชีวิตในที่สุด) โรคนี้พบครั้งแรกในประเทศจีน ซึ่งพบระดับซีลีเนียมต่ำ และในที่สุดก็เกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของโลก เมื่อเจ้าหน้าที่ในจังหวัด Keshan ของจีนพบว่า ภาวะหัวใจเกี่ยวข้องกับการขาดซีลีเนียมเท่านั้น พวกเขาจึงได้จัดทำโครงการเสริมราคาไม่แพง และมีประสิทธิภาพอย่างมากเพื่อขจัดภาวะนี้
มะเร็ง - ซีลีเนียม ขัดขวางกระบวนการก่อมะเร็ง โดยการยับยั้งการกลายพันธุ์ และทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ Peter Glidden, N.D. ให้การสัมภาษณ์ทางวิทยุ เปิดเผยว่าซีลีเนียม 200 ไมโครกรัมนั้นใช้ในการป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลของเขาการวิจัยที่ทำมาหลายปีแสดงให้เห็นว่า การบริโภคซีลีเนียม 200 ไมโครกรัม ช่วยลดมะเร็งเต้านมได้ 82 เปอร์เซ็นต์, มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 69 เปอร์เซ็นต์, มะเร็งต่อมลูกหมาก 54 เปอร์เซ็นต์ และแม้แต่มะเร็งปอด 39 เปอร์เซ็นต์
โรคข้ออักเสบ - ในการศึกษาที่นำโดย ดร. โจแอนน์ จอร์แดน จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาพบว่า ซีลีเนียมช่วยลดโอกาสในการเกิดอาการปวดข้อในข้อเข่าได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อได้ยินว่า ผู้คนในพื้นที่ที่ขาดซีลีเนียมอย่างรุนแรงในประเทศจีนเกิดเป็นโรค Kashin-Beck ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้ข้อต่อเกิดปัญหาตั้งแต่อายุยังน้อย ดร. จอร์แดน สงสัยว่าซีลีเนียมอาจมีบทบาทในการป้องกันโรคนี้ ในการศึกษากับอาสาสมัคร 940 คนพบว่า ซีลีเนียมในปริมาณ จำกัดเท่านั้นที่จำเป็นต่อการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม ทีมของ ดร. จอร์แดน เปรียบเทียบความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมด้วย X-rays กับปริมาณซีลีเนียมในร่างกายของอาสาสมัคร ซึ่งใช้วิธีวัดปริมาณซีลีเนียมในเล็บเท้าของอาสาสมัคร โดยแบ่งอาสาสมัครเป็น 3 กลุ่ม พบว่า กลุ่มซึ่งมีระดับซีลีเนียมสูงสุด มีความเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อมลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีระดับซีลีเนียมต่ำที่สุด
เอชไอวี - ร่างกายต้องการซีลีเนียมเพื่อรักษาการเผาผลาญให้เป็นปกติ ซีลีเนียมจะรวมตัวเข้ากับโปรตีน ทำให้เกิด ซีลีโนโปรตีน (selenoprotein) เชื่อกันว่า ซีลีโนโปรตีนเหล่านี้ช่วยชะลอการแพร่กระจายของเชื้อโรค ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะมีการย่อยสลายซีลีโนโปรตีน ซึ่งน่าจะเกิดจากโปรตีนที่เรียกว่า Tat ซึ่งผลิตโดยเชื้อไวรัสเอชไอวี Tat ดูเหมือนจะกำหนดเป้าหมายไปที่ ซีลีโนโปรตีน ที่เรียกว่า TR1 เพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ นักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจทดลองโดยการเสริมซีลีเนียม เพื่อส่งผลต่อวิธีที่ Tat ทำกับ TR1 เพื่อทดสอบแนวคิดนี้ พวกเขาแยกเซลล์เม็ดเลือดจากอาสาสมัครที่ไม่ได้ติดเชื้อ HIV จากนั้นทำให้เซลล์ติดเชื้อไวรัส จากนั้นพวกเขาก็เพิ่ม โซเดียม ซีลิไนต์ (sodium selenite) ซึ่งเป็นซีลีเนียมรูปแบบหนึ่ง ลงในเซลล์เพาะเลี้ยง สิ่งที่พวกเขาค้นพบทำให้พวกเขาประหลาดใจ: ซีลีเนียมหยุดการจำลองแบบของเอชไอวี (HIV replication)ได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับเซลล์เพาะเลี้ยงที่ไม่มีซีลีเนียม พวกเขายังสรุปว่า การขาดโปรตีนที่รวมตัวกับซีลีเนียม กระตุ้นให้เกิดการแพร่พันธุ์ของเอชไอวีขึ้น 3.5 เปอร์เซ็นต์
ภาวะมีบุตรยากของผู้ชาย - สำหรับผู้ชาย ซีลีเนียม จำเป็นสำหรับการผลิตอสุจิ และการเคลื่อนไหวของอสุจิ ดังนั้น คุณผู้ชายที่ต้องการมีบุตร ควรตรวจสอบว่า ร่างกายได้รับซีลีเนียมอย่างเพียงพอ เกือบครึ่งหนึ่งของซีลีเนียมในร่างกายของผู้ชาย พบในอัณฑะ และท่อน้ำเชื้อ และคุณผู้ชายจะสูญเสียซีลีเนียมไปทางน้ำอสุจิ
การขาดสังกะสีและการเติบโตของมะเร็ง: คุณมีความเสี่ยงหรือไม่?
สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการเพื่อสนับสนุนการทำงานของภูมิคุ้มกัน และช่วยในการทำงานของเซลล์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังรองรับการทำงานของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิด น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ในโลกขาดสังกะสี สังกะสีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาฮอร์โมนและโมเลกุลภูมิคุ้มกันที่ดีต่อสุขภาพ ตลอดจนการเจริญเติบโตของมนุษย์ เป็นพื้นฐานของสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยกระตุ้นและช่วยในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง
ประมาณ 25% ของประชากรโลก (ประมาณ 2 พันล้านคน) มีภาวะขาดธาตุสังกะสี ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สาเหตุหลักของการขาดสังกะสีเป็นผลมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม การส่งสัญญาณทางชีวเคมีที่ไม่ดีก็เป็นปัจจัยสนับสนุนภาวะขาดธาตุสังกะสี จากมุมมองด้าน functional health
การขาดสังกะสีเชื่อว่าจะทำให้มีผู้เสียชีวิต 400,000 รายต่อปี สังกะสีมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสตรีมีครรภ์ และเด็กที่กำลังเติบโต เนื่องจากช่วยในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ และควบคุมฮอร์โมน เช่น เลปติน, IGF-1 (insulin-like growth factor-1) และคอร์ติซอล
ระดับสังกะสีในร่างกายลดลงได้อย่างไร
อาหารที่มีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตสูง จะสร้างสมดุลของน้ำตาลในเลือดที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งจะป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมสังกะสีอย่างเหมาะสม การขาดสังกะสีเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในผู้ที่ขาดความสามารถในการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น ผู้ที่มีอาการลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome)
กรดไฟติกที่พบในพืชตระกูลถั่ว และธัญพืช เมื่อบริโภคในปริมาณสูง สามารถขัดขวางการดูดซึมสังกะสี ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยังส่งผลเสียต่อระดับสังกะสีเมื่อรับประทานเป็นประจำ
อาการของการขาดสังกะสี
อาการที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการขาดสังกะสี ได้แก่ :
- ภูมิคุ้มกันลดลง
- ความจำไม่ดี
- มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก
- ภาวะมีบุตรยาก
- การสูญเสียความรู้สึกทางเพศ
- เป็นหวัดบ่อย
- ผมร่วงผิดปกติ
- กระบวนการคิดช้า
- มีจุดบนเล็บ
- พลังงานต่ำ
- นอนไม่หลับ
- การสูญเสียรสชาติหรือกลิ่น
- ปัญหาไซนัสและอาการแพ้
- ผื่น / ผิวหนังอักเสบ (ECZEMA)
- ไม่อยากอาหาร
สุขภาพภูมิคุ้มกันของคุณขึ้นอยู่กับสังกะสี
ร่างกายจำเป็นต้องใช้สังกะสี เพื่อรักษาระบบภูมิคุ้มกัน และควบคุมระบบ Th-1 และ Th-2 ระบบเหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญของการปรับภูมิคุ้มกัน สังกะสี เพิ่มการทำงานของไซโตไคน์อินเตอร์เฟอรอนอัลฟา (cytokine interferon alpha) ของมนุษย์ ซึ่งรับผิดชอบในการป้องกันการจำลองแบบของไวรัส (viral replication) การทำเช่นนี้จะจำกัดความเครียดทางภูมิคุ้มกัน (immunological stress) ในร่างกาย และช่วยเพิ่มการทำงานร่วมกันของภูมิคุ้มกัน
เอนไซม์ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมูเทส (Superoxide dismutase - SODs) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์ที่แข็งแรง ซึ่งอาศัยสังกะสีในโครงสร้างและหน้าที่ เอนไซม์เหล่านี้ช่วยยับยั้งการติดเชื้อไวรัส และสารพิษจากการสะสมภายในเซลล์ ปกป้องลำดับจีโนมของเซลล์ ซึ่งมีหน้าที่ในการแสดงออกของยีน (gene expression)
สังกะสีช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
การตอบสนองของภูมิคุ้มกันแบบ innate immune response จะทำงานเมื่อระบบภูมิคุ้มกันตรวจพบเชื้อโรค และกระตุ้นปฏิกิริยาต่างๆภายในร่างกาย กระบวนการนี้รวมถึง Nuclear Factor - kappa Beta (NF-kB) pathway จำเป็นต้องมีการส่งสัญญาณ NF-kB ที่ละเอียดอ่อน เพื่อรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง แต่อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังเมื่อมีการกระตุ้นมากเกินไป
กระบวนการ NF-kB ต้องใช้สังกะสีในการจับกับโปรตีนในซีรีส์ เพื่อหยุดกิจกรรม ซึ่งจะควบคุมการอักเสบภายในเซลล์ เมื่อขาดสังกะสีในอาหาร และการดูดซึมที่ไม่ดี กระบวนการ NF-kB จะถูกกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคจากความเสื่อม (degenerative disease)
สังกะสีช่วยลดการพัฒนาของเซลล์มะเร็ง
ผลของสังกะสีที่มีต่อกระบวนการ NF-kB ทำให้สังกะสีมีความสำคัญอย่างมากในการป้องกันรูปแบบการเติบโตของเซลล์มะเร็ง สังกะสี เกี่ยวข้องกับการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดในเซลล์เนื้องอก (angiogenesis) และการหลั่งไซโตไคน์ที่อักเสบ พบว่าสังกะสีกระตุ้นการตายของเซลล์ตามโปรแกรมที่เรียกว่า apoptosis ในเซลล์ที่ผิดปกติ การตายของเซลล์ที่เป็นไปตามปกติ ช่วยลดความเสี่ยงของการเติบโตของมะเร็ง
การขาดสังกะสี สามารถส่งเสริมให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้หลายชนิด เช่น หลอดอาหารและมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร, ศีรษะ และลำคอ การเสริมสังกะสี พบว่า ช่วยลดจำนวนเนื้องอก และความรุนแรงของสารก่อมะเร็ง
มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม:
สังกะสีมีความสำคัญอย่างยิ่งในมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม คนที่มียีน BRCA1 มีความเสี่ยงสูงสุดในการเป็นมะเร็งเต้านม ในปี 2555 ได้มีการตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่มียีนที่ระบุ นักวิจัยพบว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลดลงในผู้ที่มีสังกะสีในความเข้มข้นสูงสุด การศึกษาเดียวกันยังพบว่า บุคคลที่มีสังกะสีในระดับต่ำสุดในร่างกาย มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ:
ความสัมพันธ์ระหว่างการขาดสังกะสีและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับมะเร็งกระเพาะปัสสาวะก็มีอยู่เช่นกัน ไม่เพียงมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีสังกะสีในระดับต่ำ แต่เนื้อเยื่อมะเร็งเองก็มีความเข้มข้นของสังกะสีต่ำอย่างมีนัยสำคัญ นักวิจัยได้เรียนรู้การเสริมสังกะสีให้กับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ช่วยกระตุ้นการตายของเซลล์ (programmed cell death) และส่งผลให้เกิดผลในการต่อต้านมะเร็งมะเร็งผิวหนัง:
การเสริมสังกะสียังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ อย่างไรก็ตามการเชื่อมโยงโดยตรงนั้นไม่แน่นอน ผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างทางเพศตามธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อเส้นทางการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppression pathways) ของผิวหนัง และการสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต แม้จะมีความแตกต่างโดยธรรมชาติ แต่ก็มีความเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับการเสริมสังกะสีที่ยับยั้งการเกิดมะเร็งของผิวหนังพบว่าสังกะสี ลดการอักเสบ, ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ และลดอุบัติการณ์ของแผลที่ผิวหนังขนาดใหญ่ และเนื้องอกที่เป็นอันตรายมากขึ้น
การขาดสังกะสีและยีน p53:
ยีน p53 เป็นยีนหลักที่ช่วยปกป้องผู้ชายจากมะเร็งต่อมลูกหมากและผู้หญิงจากมะเร็งเต้านม กล่าวกันว่า ยีนนี้เป็นผู้พิทักษ์จีโนมของมนุษย์เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ดังนั้นการกลายพันธุ์ของยีน p53 จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งอย่างมาก สังกะสี มีความจำเป็นต่อยีน p53 เพื่อลดความเสี่ยงของการกลายพันธุ์ของตัวป้องกันที่สำคัญนี้ ซึ่งการกลายพันธุ์ของยีน p53 จะเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเซลล์มะเร็งของต่อมลูกหมากและเต้านมอย่างมาก
ความสมดุลของสังกะสีและเอสโตรเจน
David Watts สังเกตว่า ผู้หญิงที่มีระดับทองแดง, แคลเซียม และโบรอนในแร่ธาตุในเส้นผมสูง ก็จะมีสังกะสีในระดับต่ำ และมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมาก คำอธิบายของ ดร. วัตต์ เกี่ยวกับการค้นพบนี้คือ ทองแดงและโบรอน ช่วยเพิ่มความไวของร่างกายต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน และลดผลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
สังกะสีสนับสนุนการผลิตและการใช้โปรเจสเตอโรน ดังนั้น การขาดสังกะสีจึงเพิ่มความไวของฮอร์โมนเอสโตรเจน และลดการตอบสนองของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อให้ฮอร์โมนในสตรีเหล่านี้สมดุลอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มระดับสังกะสี และลดความเข้มข้นของโบรอน, ทองแดง และแคลเซียมด้วย
วิธีจัดการกับการขาดสังกะสีผ่านผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
แหล่งที่มาของสังกะสีตามธรรมชาติพบได้ใน หอยนางรม, ไข่, เมล็ดธัญพืช, ถั่ว, เมล็ดพืช, หอยและเนื้อสัตว์ เนื่องจากการสะสมของสารพิษในหอยนางรม และหอย จึงควรจำกัดการรับประทานอาหารจากแหล่งที่มาเหล่านี้ หรือหลีกเลี่ยงเสีย ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ได้แก่ เนื้อวัว (ที่เลี้ยงด้วยหญ้า) และเครื่องในสัตว์, ไข่ ที่ผลิตในท้องถิ่นจากสัตว์เลี้ยงในทุ่งหญ้า 100% แหล่งที่มาของสังกะสีจากพืชพบมากใน เมล็ดฟักทอง, เมล็ดทานตะวันและเมล็ดเจีย
โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ แนะนำให้รับประทานสังกะสีวันละ 8-11 มิลลิกรัม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้าน functional health และนักโภชนาการบางคน จะแนะนำว่าควรใช้ 30-40 มก. / วัน การบริโภคความเข้มข้นเกิน 100 มก. / วัน สามารถสร้างอาการไม่พึงประสงค์ต่อสุขภาพ และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งได้