การเพิ่มระดับการสั่นสะเทือน และสุขภาพของคุณ

         ทุกสิ่ง ทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตอยู่ในสภาวะของการสั่นพ้องฮาร์มอนิกของการสั่นสะเทือน (vibrational harmonic resonance)    สิ่งที่เราเรียกว่า สสาร เป็นที่เข้าใจกันว่า    เป็นพลังงานที่จัดเรียงตามรูปคลื่น และความถี่    อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ และสั่นสะเทือนอยู่เสมอ    ทุกสิ่ง ทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต อยู่ในสภาวะของการสั่นพ้องฮาร์มอนิกของการสั่นสะเทือน

         การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิด รวมถึงมนุษย์ประกอบด้วย และล้อมรอบด้วยสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า    ในทำนองเดียวกัน ในระดับจุลภาค ทุกระบบ, อวัยวะ, เนื้อเยื่ เซลล์ และโมเลกุลของร่างกายมนุษย์ มีสนามพลังงานการสั่นสะเทือนของแม่เหล็กไฟฟ้า(electromagnetic vibrational energy)

         ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใน และภายนอกร่างกายมนุษย์  คือการแลกเปลี่ยนพลังงาน    การเคลื่อนไหว, การไหล และการแลกเปลี่ยนพลังงานมีความสำคัญต่อชีวิต

 

อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ และสั่นสะเทือนตลอดเวลา

         การเพิ่มระดับความสั่นสะเทือน เป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตที่คุณต้องการอย่างแท้จริง    ขณะที่คุณกำลังแผ่คลื่นความถี่ต่ำ หรือระดับความสั่นสะเทือนต่ำ   ชีวิตของคุณจะไม่สงบสุขอย่างแท้จริง   และคุณจะดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกอยู่ภายใน ถึงความไม่สบายอย่างต่อเนื่อง

 

"ร่างกายเป็นของธรรมชาติ  เช่นเดียวกับไวโอลินในวงออเคสตรา

 

ความสำคัญของสายไวโอลินที่มีต่อไวโอลิน  ก็เหมือนความสำคัญของอวัยวะต่อร่างกาย

 

เพื่อให้วงออเคสตราบรรเลงได้อย่างลงตัว   เครื่องดนตรีทั้งหมดจะต้องถูกปรับให้เข้ากัน

 

หากมีเครื่องดนตรีเพี้ยนเพียงชิ้นเดียว   เสียงทั้งหมดจะไม่สอดคล้องประสานกัน"

Beinfield และ Korgold

         

         ในวิชาฟิสิกส์   การสั่นพ้อง (resonance) คือแนวโน้มของระบบที่จะแกว่ง (oscillate)    ที่แอมพลิจูดสูงสุดที่ความถี่บางความถี่  ซึ่งเรียกว่า ความถี่เรโซแนนซ์ของระบบ     ตัวอย่างหนึ่งที่คุ้นเคยคือ ชิงช้าในสนามเด็กเล่น   ซึ่งทำหน้าที่เหมือนลูกตุ้มหรือเพนดูลัม (Pendulum)

 

 

"ทุกสิ่งในชีวิตคือการสั่นสะเทือน"   อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

 

         การผลักชิงช้าตามช่วงเวลาตามธรรมชาติของการสวิง (ตามความถี่เรโซแนนซ์ของมัน)       จะทำให้วงสวิงสูงขึ้น และสูงขึ้น (แอมพลิจูดสูงสุด)   ในขณะที่การพยายามผลักชิงช้าด้วยความเร็วที่เร็วขึ้น หรือช้าลง  จะส่งผลให้วงสวิงเล็กลง    นี่เป็นเพราะว่า พลังงานที่วงสวิงดูดซับนั้น             จะเพิ่มขึ้นสูงสุด  เมื่อการผลักอยู่ใน 'เฟส' เดียวกับการแกว่งของวงสวิง    ในขณะที่พลังงานบางส่วนของการสวิงนั้นจริง ๆ แล้วดึงมาจากแรงตรงข้ามของการผลัก  เมื่อมันไม่ถูกผลัก

 

อารมณ์ของความกลัว, ความหมดอาลัยตายอยาก, ความเศร้าโศก, ความโกรธ, ความวิตกกังวล, สุขภาพไม่ดี       จะแผ่เรโซแนนซ์ หรือระดับการสั่นสะเทือน ที่แตกต่างจากอารมณ์ของความรัก, ความปิติ, ความกตัญญู,    สุขภาพที่สดใส    เช่นเดียวกับการหมุนคลื่นไปที่ 96.9 FM   จะให้ผลลัพธ์ หรือความถี่ที่แตกต่างจาก 104.7 FM    บนหน้าปัดวิทยุของคุณ

 

         ลองทดสอบสิ่งนี้:   เข้าไปในห้องน้ำ  แล้วปิดประตู   ถ้าเป็นห้องน้ำที่มีกระเบื้องเยอะๆ ยิ่งดี   ฮัมเมโลดี้ หรือโน้ตต่างๆ ที่หลากหลาย ....   คุณจะสังเกตได้ว่า โน้ตตัวใดตัวหนึ่ง ดูเหมือนจะ "Echo" นานกว่า และให้เสียงที่ดังกว่าโน้ตตัวอื่นๆ    โน้ตตัวนี้เป็นระดับเสียงที่เรโซแนนซ์กับห้องน้ำของคุณ   ห้องน้ำต้องการสั่นสะเทือนไปพร้อมกับโน้ตนั้น -   และโน้ตนั้น จะเดินทางผ่านพื้นผิวโดยสูญเสียพลังงานน้อยลง และเสียงก้องดังขึ้น    สิ่งนี้สามารถใช้สำหรับ psycho-acoustical effects (จิตวิทยาทางเสียง)   โดยการทดสอบ แล้วเล่นเพลงใน Root-Note ของห้อง   เพื่อให้ตัวห้องทำหน้าที่เป็นเครื่องขยายเสียงสำหรับโครงสร้างการสั่นสะเทือนของเพลง

          เรโซแนนซ์เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในธรรมชาติ   และถูกใช้ในอุปกรณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นจำนวนมาก   เป็นกลไกที่คลื่นรูปไซน์ ( sinusoidal waves) และการสั่นสะเทือนแทบทั้งหมดถูกสร้างขึ้น เสียงหลายอย่างที่เราได้ยิน เช่น เมื่อกระทบกับวัตถุแข็งที่ทำด้วยโลหะ, แก้ว หรือไม้   เกิดจากการสั่นสะเทือนที่เรโซแนนซ์เป็นเวลาสั้นๆของวัตถุ    แสง และการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นสั้นอื่นๆ   เกิดจากเรโซแนนซ์ในระดับอะตอม  เช่น อิเล็กตรอนในอะตอม

 

กฎแห่งเรโซแนนซ์ (The Law of Resonance) กล่าวว่า  พลังงานทั้งหมดจะเรโซแนนซ์ที่ความถี่เฉพาะ   ทำให้พลังงานของความถี่ที่กลมกลืนกันเท่านั้น ที่จะยึดติดกัน  เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางกายภาพของคุณ

 

         การมองลึกลงไปในกฎแห่งเรโซแนนซ์ (The Law of Resonance) จะทำให้คุณมีกุญแจ      ที่ "ดูเหมือน" จะซ่อนอยู่ ในบรรดากุญแจทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการของสุขภาพในทุกๆ วันในชีวิตของคุณ    อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ที่มองเห็น และที่มองไม่เห็นทั้งหมด, เงื่อนไข              และสถานการณ์ ที่ประกอบขึ้นเป็นประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของคุณ   ตลอดจนเหตุการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องในจักรวาลทั้งหมด  เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากกฎแห่งเรโซแนนซ์ (The Law of Resonance)

 

กฎแห่งการสั่นสะเทือน (The Law Of Vibration)

 

เฉกเช่นก้อนกรวด สร้างแรงสั่นสะเทือนที่ปรากฎเป็นระลอกคลื่น

ซึ่งไหลออกสู่ภายนอกในแหล่งน้ำ    ความถี่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนที่เคลื่อนออกไปภายนอก                                  เป็นตัวกำหนดสุขภาพ หรือโรคภัยไข้เจ็บในชีวิตของคุณ

 

         หลายคนมองว่า กฎแห่งการสั่นสะเทือน(The Law Of Vibration) เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ  และซับซ้อนเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้โดยสิ้นเชิง

         หากคุณต้องอ่านรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่มีสมการ และสูตรทั้งหมด  ที่นำวิทยาศาสตร์มาสู่ข้อสรุปของการค้นพบนี้   ก็คงต้องยอมรับว่ามันซับซ้อนเกินไปจริงๆ

         ความจริงก็คือ กฎแห่งการสั่นสะเทือน (The Law Of Vibration)  ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆที่เกิดขึ้น    จริงๆ แล้วเป็นแนวคิดที่เรียบง่ายมาก  แต่มนุษย์ทำให้มันดูซับซ้อน

         สิ่งแรกที่สำคัญที่ต้องเข้าใจคือ   สิ่งที่มีอยู่   ไม่ว่าจะมองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ตาม           แบ่งออกเป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุด และพื้นฐานที่สุด   ประกอบด้วยรูปแบบของ หรืออัตราของ        การสั่นสะเทือน

ทุกอะตอมในจักรวาลมีความถี่   ไม่ว่าจะเป็นเม็ดทราย, ชิ้นส่วนของเหล็ก, พืช, สัตว์ หรืออวัยวะในร่างกายของคุณ    แต่ละเซลล์จะเรโซแนนซ์ หรือสั่นสะเทือนที่ความถี่ หรือการแกว่งเฉพาะ    ร่างกายของคุณ ประกอบด้วยอะตอมต่างๆ  ซึ่งประกอบด้วยโฟตอน, อิเล็กตรอน และพลังงานชีวภาพ (bio-electric energy) โดยรวม ที่ไหลผ่าน              วิธีที่คุณดูแลร่างกายทางกาย, ทางอารมณ์ และทางจิตใจ   จะเป็นตัวกำหนดว่า จะมีการสร้างความถี่เชิงลบ      หรือสารพิษจำนวนเท่าใดในร่างกาย    มี 4 วิธีทั่วไป ในการสร้างความไม่สมดุลในร่างกาย   ผ่านสารพิษที่เรากิน, มลพิษที่เราหายใจ, การสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีพลังเชิงลบ และวิธีที่เราประมวลผลข้อมูลในความคิด          และความรู้สึกของเรา

 

 

         เริ่มต้นด้วยการดูอะไรง่ายๆ อย่างกระดาษ    เมื่อคุณหยิบมันขึ้นมา และมองดู     ดูเหมือนว่าจะเป็นวัตถุแข็งที่คุณสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสพื้นฐานทั้ง 5 ของมนุษย์  ในการมอง, สัมผัส,    ลิ้มรส, กลิ่น และการได้ยิน

 

         หากคุณฉีกชิ้นส่วนเล็กๆ กระดาษออกมา  แล้ววางไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์   คุณจะพบว่า ตอนนี้ดูเหมือนว่า กระดาษจะเปลี่ยนไป  เป็นรูปแบบที่ต่างไปจากตอนที่คุณถือไว้ในมือ หรือขณะที่วางอยู่บนโต๊ะ

         เมื่อคุณสังเกตอย่างใกล้ชิด   คุณจะพบว่า ดูเหมือนมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายใน    ไม่ใช่แค่ดูเหมือน   แต่มีจริงๆ!    การเคลื่อนไหวที่คุณเห็นคือ สสารขนาดเล็กนับล้านที่ประกอบขึ้นเป็นแผ่นกระดาษ ซึ่งเรียกว่าโมเลกุล    ทุกสิ่งในโลกของเราที่คุณสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสพื้นฐานทั้ง5 ของมนุษย์นั้น  ประกอบขึ้นจากสิ่งมหัศจรรย์เล็กๆ เหล่านี้    จริงๆแล้วเป็นพันล้าน  และล้านล้าน

         ทีนี้ลองเอาหนึ่งในโมเลกุลเหล่านั้น  มาวางไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ที่ทรงพลังขึ้น    และเมื่อคุณมองผ่านเลนส์   คุณจะพบว่า ดูเหมือนมีการเคลื่อนไหวจากภายในโมเลกุล    ไม่เพียงแค่ดูเหมือน แต่มีจริงๆ!

         การเคลื่อนไหวนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งที่ชุมชนวิทยาศาสตร์รู้จักในชื่อ  อะตอม  ซึ่งแยกย่อย   และวิเคราะห์เพิ่มเติมแล้วว่า ประกอบด้วยโปรตอน ซึ่งอยู่ตรงกลาง และอิเล็กตรอนที่โคจรรอบโปรตอนอย่างต่อเนื่อง   ทำให้เกิดรูปแบบการสั่นสะเทือน (พลังงาน)

         เราสามารถดำเนินการตามขั้นตอนนี้ต่อไป  จนเราจะลงลึกถึงการค้นพบที่เล็กที่สุดที่ชุมชนวิทยาศาสตร์รู้จักจนถึงจุดนี้ เรียกว่า ควาร์ก(quark)

         โดยไม่ต้องเข้าไปในสมการทางคณิตศาสตร์ และลักษณะเฉพาะของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของความเป็นจริงนี้    ทุกสิ่งที่มองเห็น หรือมองไม่เห็น จะมีอะตอม และอนุภาคย่อยของอะตอม (subatomic particle)    ปริมาณที่แตกต่างกันของแต่ละสิ่งเหล่านี้รวมกัน   ทำให้เกิดรูปร่าง หรือพลังงานต่างๆ  ที่กำหนดรูปแบบ หรืออัตราของการสั่นสะเทือน    ขึ้นอยู่กับปริมาณเฉพาะของส่วนผสมแต่ละอย่างเหล่านี้  จะกำหนดโครงสร้างของแต่ละวัตถุ ที่สามารถมองเห็น   และกำหนดว่าสิ่งนั้นเป็นของแข็ง, ของเหลว หรือก๊าซ   และยังกำหนดด้วยว่า สามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์หรือไม่      ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน   แบ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สุด    ทุกสิ่งที่มีอยู่ ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น   ประกอบด้วยอัตราความสั่นสะเทือน   

         ตัวอย่างที่ดีของสิ่งนี้ที่ทุกคนคุ้นเคยคือลม    แม้ว่าจะรู้สึกได้  แต่ที่การสั่นสะเทือนบางระดับลม จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ หรือได้ยินด้วยหูของเรา    เมื่ออัตราความสั่นสะเทือนเปลี่ยนไปถึงจุดที่ทำให้อัตราลมเพิ่มขึ้น และแรงพอที่จะพัดพาเอาสกปรก หรือเศษซากได้  ก็จะอยู่ที่ระดับ (การสั่นสะเทือน) ที่จะช่วยให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์สามารถสัมผัสมันได้

 

กฎแห่งเรโซแนนซ์ (The Law of Resonance) เป็นกฎที่ค่อนข้างจะกำหนดว่า ทุกสิ่งมีปฏิกิริยา และแสดงออกมาเป็นสุขภาพในร่างกายของคุณได้อย่างไร..

 

         กล่าวอีกนัยหนึ่ง   ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุที่จับต้องได้, ร่างกาย, เสียง, สี, ความรู้สึก, ออกซิเจน, ความคิด, ความรู้สึก, อารมณ์ ฯลฯ เป็นต้น   ล้วนเกิดขึ้นจากพลังงาน หรือสิ่งที่วิทยาศาสตร์เรียกว่า Quanta  ซึ่งเป็นกลุ่มพลังงานที่สั่นสะเทือน ที่สร้างขึ้นจาก อนุภาคย่อยของอะตอม (subatomic particle) จำนวนหนึ่ง

 

"การสั่นสะเทือน ประกอบด้วยการเต้นเป็นจังหวะของพลังงานของขั้วบวกและขั้วลบ   เราเรียกว่าความถี่    มันเป็นวิธีที่เราจำแนกการแสดงออกของพลังงานที่แตกต่างกัน    อะตอมทำหน้าที่เหมือนเครื่องส่งวิทยุเล็กๆ ที่กระจายคลื่น    มนุษย์ เช่นเดียวกับสสารทุกชนิด  มีการปล่อยรังสีอย่างต่อเนื่อง    ทุกสิ่งส่งคลื่นที่มีความยาวคลื่นต่างกัน    ความยาวคลื่นของร่างกายเป็นสิ่งเฉพาะบุคคล เหมือนลายนิ้วมือ    ภายใต้กฎแห่งการสั่นสะเทือน (The Law Of Vibration)   แต่ละคนมีอัตราการสั่นสะเทือน หรือฮาร์โมนิคเรโซแนนซ์ที่แตกต่างกัน

 

 

         แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดเรโซแนนซ์ของร่างกายของคุณในตอนนี้?    อารมณ์ของคุณ, อาหารของคุณ, ความคิดของคุณ, สารพิษจากภายนอก และสนามแม่เหล็กที่เป็นอันตราย ฯลฯ...

         เรโซแนนซ์ เป็นเพียงกระบวนการของการเริ่มต้น และขยายการสั่นสะเทือน (ลิงค์) ในระบบที่รับการสั่นสะเทือนนั้นเข้ามา  แล้วปรับให้เข้ากับ หรือสั่นสะเทือนให้เรโซแนนซ์กับ ระบบที่ส่งการสั่นสะเทือนนั้นมา  ซึ่งจะสร้างเป็นผลลัพธ์ขึ้น

 

ร่างกายที่แข็งแรง

ร่างกายแข็งแรงส่งสัญญาณความถี่ระหว่าง 62 ถึง 72 เฮิรตซ์    เมื่อความถี่ลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอ    หากความถี่ลดลงเหลือ 58เฮิรตซ์   อาการหวัด และไข้หวัดใหญ่จะปรากฏขึ้น   ที่ 55เฮิรตซ์โรคต่างๆ เช่น Candida จะเกิดขึ้น   ที่ 52เฮิรตซ์, Epstein Barr    และที่ 42เฮิรตซ์จะเป็นมะเร็ง

ตอนนี้  คุณอาจถามว่า  อะไรที่ทำให้ความถี่ของร่างกายคุณลดลง?    สิ่งที่คุณกิน และดื่ม  ส่งผลโดยตรงต่อความถี่ของคุณ    ผลไม้ และผักสดมีความถี่มากถึง 15 เฮิรตซ์, สมุนไพรแห้ง 12 - 22 เฮิรตซ์, สมุนไพรสดตั้งแต่ 20 - 27 เฮิรตซ์,น้ำมันหอมระเหยเริ่มต้นที่ 52 เฮิรตซ์และสูงถึง 320 เฮิรตซ์  ซึ่งเป็นความถี่ของน้ำมันดอกกุหลาบ    อาหารกระป๋องมีความถี่เท่ากับ 0   เนื่องจากอาหารถูกปรุงสุก ก่อนบรรจุลงในกระป๋อง   และทุกอย่างที่ปรุงสุก  จะถือว่าตายแล้ว  และไม่มีพลังงานเหลืออยู่    นอกจากนี้ ยาฆ่าแมลง, สารเคมี, สารกันบูด   สิ่งเหล่านี้ที่เพิ่มเข้าไปในอาหารของเรายังลดความถี่ของเราอีกด้วย    เซลล์มองว่า สารกำจัดศัตรูพืชในอาหารเป็นอันตราย  จึงทำให้เซลล์เข้าสู่โหมดการอยู่รอด (survival mode)  ซึ่งขัดขวางกระบวนการเจริญเติบโตและสุขภาพที่ดี

         สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า เรโซแนนซ์ จะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อ  ความถี่ของทั้ง 2 ระบบ (ระบบที่รับและระบบที่ส่งความถี่นั้น) อยู่ใกล้กัน หรือเท่ากัน

 

"โดยการค้นพบกฎสากล (Universal Laws)   คุณจะค้นพบที่มาของสุขภาพทั้งหมด,     ความมั่งคั่งทั้งหมด, ความสุขทั้งหมด, ความปิติยินดี, ความสงบที่ลึกซึ้ง, ความเชื่อมั่น และการเติมเต็ม    แหล่งที่ควบคุมทุกสิ่งที่เป็นอยู่, เป็นมา และตลอดไป"

 

 

         กฎสากล (Universal Laws) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า กฎแห่งจิตวิญญาณ (Spiritual Laws) หรือกฎแห่งธรรมชาติ (Laws Of Nature)  เป็นหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลง ที่ปกครองจักรวาลทั้งหมดของเรา  และเป็นวิธีการที่โลกของเรายังคงเติบโต และดำรงอยู่ต่อไป              หลายสาขาวิชาละเลยกฎสากลเหล่านี้

         แต่พวกเขากลับพยายามแสวงหา, ค้นหา การได้รับสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี             ผ่าน "ช่องทางทางกายภาพภายนอก" ต่างๆ เช่น ยา และสารพิษต่างๆ ฯลฯ    และในการทำเช่นนั้น ร่างกายจะเสียสมดุล  ทำให้เกิดเรโซแนนซ์ที่กระจัดกระจาย    ส่งผลต่อสภาพร่างกาย และจิตใจอย่างท่วมท้น   อ่อนล้า, ซึมเศร้า, กังวล, หวาดกลัว และอาการอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดผลตรงกันข้ามกับสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี

 

คำอธิบายทั่วไป

         คำอธิบายทั่วไปที่นักฟิสิกส์ใช้ในปัจจุบันเพื่ออธิบายธรรมชาติของสสาร เรียกว่า ทฤษฎีสตริง (string theory)  บอกเป็นนัยว่า  วัตถุทั้งหมดประกอบด้วยสายที่เล็กอย่างไม่น่าเชื่อ    ที่สั่นสะเทือนอยู่    และเช่นเดียวกับเครื่องดนตรี แต่สาย มีลักษณะการสั่นสะเทือนที่แตกต่างกัน สายสั้น และเส้นละเอียดกว่า จะสั่นเร็วกว่าสายยาวและหยาบ

         สายเหล่านี้ถักทอเข้าด้วยกันโดยอิทธิพลจากภายใน และภายนอก   เยื่อหุ้มร่างกายของเราเหมือนด้ายของผ้าราคาแพง    จากนั้นเยื่อหุ้มเซลล์จะพับเข้าหากัน  และห่อหุ้มตัวเองเข้าไปในเซลล์, อวัยวะ และผิวหนังของร่างกายเรา    พื้นที่ที่ปิดล้อมแต่ละส่วนเหล่านี้  แทนช่องเรโซแนนซ์ที่สั่นสะเทือนที่ความถี่จำเพาะ  ตามลักษณะของเยื่อหุ้มและโพรง (ปริมาตร, ความหนาแน่น,     ความแข็ง ฯลฯ)    สิ่งกีดขวางเหล่านี้ ล้อมรอบทุ่งพลังงาน (energy fields) ต่างๆ ของร่างกายและปกป้องพวกมัน

         ร่างกายที่แข็งแรง เป็นสนามพลังงานไดนามิกแบบโต้ตอบที่ไหลลื่น (flowing interactive electro-dynamic energy field)    ทุกเซลล์เรโซแนนซ์ด้วยความถี่เฉพาะ    ความถี่ที่เต็มไปด้วยฮาร์โมนิก  ทำให้ร่างกายมีความถี่เต็มรูปแบบ ที่สามารถรองรับ     และเสริมสร้างระบบชีวภาพได้    สามารถฟื้นฟูสภาพพลังงาน และความถี่ในอุดมคติของทุกเซลล์ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

         การเสริม และขยายความกลมกลืนที่เป็นธรรมชาตินี้   ในขณะที่ขจัดสิ่งรบกวน และความไม่ลงรอยกัน  ก็จะเพิ่มเรโซแนนซ์ที่ดีได้

 

         โพรงในร่างกาย เช่น ลำไส้, ปอด, หลอดลม, ลำคอ และโพรงจมูก ทำให้เกิดเรโซแนนซ์ของเสียง   คล้ายกับช่องที่ส่งเสียงของกีตาร์   ซึ่งทำให้แต่ละเสียงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว   แม้ว่าจะใช้สายที่คล้ายกันทั้งหมดก็ตาม

 

         การเพิ่มความกลมกลืน หรือเรโซแนนซ์ของร่างกาย  จะเพิ่มจำนวนของความถี่ที่เรียกว่า overtones   ซึ่งอาจส่งผลให้มีความสอดคล้องกันมากขึ้น   ซึ่งจะเติมเต็มรูใดๆ ที่มีอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์

         ความสมดุลอย่างสมบูรณ์ขององค์ประกอบของจิตใจ และร่างกายของเรา อย่างกลมกลืน และเรโซแนนซ์  จะเป็นสิ่งที่เทียบเท่ากับ...สุขภาพที่ดี

 

เวชศาสตร์การสั่นสะเทือน(Vibrational medicine)

ทุกระบบ, อวัยวะ, เนื้อเยื่อ, เซลล์ และโมเลกุลของร่างกายมนุษย์  สั่นสะเทือนภายในช่วงความถี่ที่แน่นอน  และมีความถี่การสั่นสะเทือนหลายระดับ    วัตถุสามารถมีความถี่ตามธรรมชาติได้มากกว่า 1 ความถี่  ซึ่งเรียกว่า ฮาร์โมนิก    ทุกระบบ, อวัยวะ, เนื้อเยื่อ, เซลล์ และโมเลกุล            มีความถี่ที่ "เหมาะสม" นั่นคือ  ความถี่ฮาร์มอนิกเรโซแนนซ์ (Harmonic Resonance Frequency-HRF)   เช่นเดียวกับเส้นเมอริเดียน เส้นทางที่พลังงานไหลผ่าน และกระจายในพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (ออร่า)    เส้นเมอริเดียนทุกเส้น มีความถี่ "ในอุดมคติ" ของตัวเอง   นั่นคือความถี่ฮาร์มอนิกเรโซแนนซ์ (Harmonic Resonance Frequency -HRF)    ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่า  พลังงานจะไหลอย่างอิสระ และราบรื่นตลอดเส้นเมริเดียน

 

 

         คำว่า  การสั่นสะเทือน หรือความถี่  หมายถึง การเต้นของพลังงานที่ประกอบขึ้นเป็น       และกำหนดรูปแบบของชีวิต และสสารทั้งหมด    สมการ E = mc2 ที่มีชื่อเสียงของ Albert Einstein ระบุว่า  พลังงานเทียบเท่ากับ สสาร และอัตราการสั่นสะเทือนที่เร็วขึ้นอย่างมาก สนามพลังงาน (energy fields) ที่ประกอบขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มีปฏิกิริยาโต้ตอบกัน ความสามารถของสนามพลังงาน (energy fields) ที่มีอิทธิพลต่ออัตราการสั่นสะเทือนของอีกแหล่งหนึ่งเรียกว่า เรโซแนนซ์    เวชศาสตร์การสั่นสะเทือน(Vibrational medicine)

 

         ขึ้นอยู่กับเรโซแนนซ์ของพลังงาน      พลังงานสามารถนำไปใช้ในรูปของกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำๆ, แสง, สนามแม่เหล็ก, เสียง, energetic remedies และการสัมผัสของมนุษย์ (หรือบางส่วนรวมกัน)

 

         เพื่อเริ่มทำความเข้าใจว่า เวชศาสตร์การสั่นสะเทือน(Vibrational medicine)สามารถทำอะไรให้คุณได้บ้าง   ควรตระหนักว่า ร่างกายมนุษย์เป็นเครื่องจักรฟิสิกส์ควอนตัมที่สวยงาม    เราถูกสร้างขึ้นจากพลังงานสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง    มนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากเซลล์      ซึ่งสร้างจากอะตอม ซึ่งสร้างจากอนุภาค   และสิ่งที่เรียกว่าอนุภาค  จริงๆ แล้วเป็นเพียงพลังงานที่สั่นสะเทือน    ทุกอะตอมเป็นเพียงคลื่นของความน่าจะเป็น   และสิ่งที่เราเรียกว่า สสารที่จับต้องได้นั้น  ส่วนใหญ่ประกอบด้วยพื้นที่ว่างทั้งหมดจริงๆ    เราเป็นพื้นที่ว่าง  มากกว่าเป็นสิ่งของที่จับต้องได้   เราเป็นแรงสั่นสะเทือน มากกว่ามวล   ดังนั้น เราจึงสามารถได้รับผลกระทบอย่างมาก   ไม่ว่าจะในทางบวกหรือทางลบ โดยพลังงานการสั่นสะเทือน

 

         เช่น รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ช่วยให้อารมณ์ดี, ช่วยการทำงานของสมอง, ระบบต่อมไร้ท่อ และวงจรการนอนหลับ    โฟตอนจากแสงแดด ยังช่วยให้เราสร้างวิตามินดี ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็ง, เบาหวาน, โรคซึมเศร้า และการสูญเสียกระดูก    การแผ่รังสีอินฟราเรดได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถเร่งการฟื้นตัวของบาดแผล และการบาดเจ็บได้   และ NASA กำลังทดสอบอุปกรณ์ LED อินฟราเรด เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชในอวกาศ

 

         ตัวอย่างของเทคนิคของเวชศาสตร์การสั่นสะเทือน(Vibrational medicine) ได้แก่ การฝังเข็ม, โฮมีโอพาธีย์, อัญมณี และflower essences, แสง สี และเลเซอร์, การบำบัดด้วยเสียง, Rife, MWO, เรกิ และ hands-on healing

         ข้อดีของเวชศาสตร์การสั่นสะเทือน(Vibrational medicine) โดยทั่วไปคือ       ไม่มีผลข้างเคียง  และสามารถรักษาความไม่สมดุลของจิตใจ/ร่างกาย ที่ยาก และท้าทาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ซึ่งไม่สามารถวินิจฉัย หรือรักษาด้วยยาตะวันตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

         พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผลกระทบต่อทุกระบบของสิ่งมีชีวิต   และแสง เป็นเพียงแถบรังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แคบ    ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา หรือประมาณนั้น   ผู้บุกเบิกทางการแพทย์ที่เปิดใจกว้างหลายคนมองหาการประยุกต์ใช้พลังงานการสั่นสะเทือนเพื่อการรักษาอื่นๆ    รวมถึงคนอย่าง John Sarno ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ   และ Richard Gerber ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Vibrational Medicine"    ทุกวันนี้ มีการทดลองมากมายในการรักษาด้วยแสง, เสียง, ความร้อน และไฟฟ้า   ตัวอย่างเช่น  เรารู้แล้วว่า แรงกระตุ้นไฟฟ้า   และคลื่นเสียง เร่งการหายของกระดูกอย่างรวดเร็ว    เรารู้ว่าแสงอินฟราเรดในช่วง 600 และ 700 นาโนเมตร ช่วยเร่งการรักษาบาดแผลของเนื้อเยื่อ    เรายังทราบด้วยว่า ความเครียดจากสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเสียงรบกวน (การใช้ชีวิตใกล้สนามบิน) หรือการรบกวนทางไฟฟ้า (การอาศัยอยู่ใกล้กับสายไฟแรงสูง) เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายมิติ ที่สั่นสะเทือน โดยมีปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานที่ซับซ้อนมากมายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง    ปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานที่ซับซ้อนเหล่านี้ -  เครือข่ายการสื่อสารพลังงานชีวภาพ (bioenergetic communication network) – ปล่อยข้อมูลการสั่นสะเทือนที่ระบุกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้อย่างแม่นยำ  และสามารถวัดการแผ่กระจายของการสั่นสะเทือนด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย    การวิจัยในปัจจุบันตั้งสมมติฐานว่า ทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นจิตใจ, ร่างกาย และอารมณ์  ก่อให้เกิดเครือข่ายการสื่อสารที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยพลังงานชีวภาพอย่างต่อเนื่อง    แต่ละส่วนของร่างกาย แม้จะเป็นส่วนที่เล็กที่สุด  ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการสื่อสารพลังงานชีวภาพนี้    เวชศาสตร์การสั่นสะเทือน(Vibrational medicine) ช่วยกระตุ้นเครือข่ายนี้   และระบบการฟื้นฟูของร่างกายตอบสนอง โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนกับการใช้สารทางเภสัชวิทยา    ทุกสิ่งที่มีชีวิต สั่นสะเทือนที่ความถี่ที่แน่นอน   สิ่งนี้เป็นจริง ไม่เพียงแต่สำหรับโมเลกุล, เซลล์, เนื้อเยื่อ และอวัยวะเท่านั้น   แต่ยังรวมถึงปรสิต, แบคทีเรีย, ไวรัส ฯลฯ    ความไม่สมดุล, ความผิดปกติ และโรคต่างๆ  เปลี่ยนแปลงเครือข่ายการสื่อสารพลังงานชีวภาพ และด้วยการใช้อุปกรณ์การแพทย์แบบสั่นสะเทือน  สามารถฟื้นคืนสภาพได้ ร่างกายก็รักษาตัวได้เอง!